วันศุกร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2562

24 ข้อคิดที่ได้เรียนรู้ ในวัย 24 ปี











24 ข้อคิดที่ได้เรียนรู้ ในวัย 24 ปี



1. บางคนผ่านเข้ามาเพียงเพื่อให้บทเรียนกับเรา สอนให้เราแข็งแกร่งและเติบโต แล้วเขาก็จากไป

.อย่าไปยึดติด หรือคาดหวังว่าเขาจะอยู่กับเราตลอดไป เพราะคำว่า "ตลอดไป" ไม่เคยมีอยู่จริง





2. คนที่รักเรามากที่สุด ห่วงใยเรามากที่สุด แคร์เรามากที่สุด ไว้ใจได้มากที่สุด ก็คือ "ตัวเราเอง" ไม่ใช่ใครอื่น

.เราจะไม่มีทางรักใคร ห่วงใยใคร แคร์ใคร และไว้ใจใครได้เลย ถ้าเรายังไม่รักตัวเอง ไม่ห่วงตัวเอง ไม่แคร์ตัวเอง และไม่ไว้ใจตัวเราเอง





3. เงินคือสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต ณ ตอนนี้ แค่ก้าวขาออกจากบ้านก็ต้องใช้เงินหาซื้อกับข้าวกินแล้ว และค่าใช้จ่ายอีกจิปาถะ

.อย่าโลกสวยว่าเงินไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด เพราะชีวิตเราจะเป็นอิสระมากขึ้น ครอบครัวสุขสบายมากขึ้น เมื่อมีเงินมากขึ้น

.ไม่จำเป็นต้องรวยล้นฟ้า เป็นร้อยล้าน หมื่นล้าน แค่เรามีเงินมากพอ   
ที่เราต้องการจะใช้มันไปทั้งชีวิตเพียงหลักล้านต้นๆ หรือสิบล้านก็เพียงพอแล้วสำหรับเรา





4. เมื่อเรามีทุกอย่างจนครบหมดแล้ว สุดท้ายเราจะพบเพียงความว่างเปล่า หากในวันที่เราสำเร็จ 

แต่กลับไร้คนที่เรารักอยู่เคียงข้างกาย ความสำเร็จที่ได้มา

.

ย่อมไม่ทำให้เรามีความสุขได้อย่างแท้จริง แต่การมีคนที่เรารัก พ่อแม่ 

คนรักเราคอยอยู่เคียงข้างเราทุกวินาทีจนเราประสบสำเร็จ นั้นต่างหากคือสิ่งที่สำคัญที่สุด





5. มองโลกในแง่ดีได้นะ แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง ใครจริงใจไม่จริงใจ 

เข้ามาเพียงเพื่อหวังผลประโยชน์จากเราหรือเปล่า? ต้องดูให้เป็น

.

ใครแยกได้คนนั้นรอด แยกไม่เป็นชีวิตอาจชิบหายได้อย่างง่ายดายมาก บอกเลย!

.รู้จักผู้คนมากมาย ไม่สำคัญเท่ากับการแยกแยะคนแต่ละประเภทให้เป็น





6. อย่ายอมให้ใครมาบงการ หรือกำหนดชีวิตเรา นิสัยของเรา 

ถ้าสิ่งที่เราเป็นอยู่มันไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ก็จงเป็นตัวของตัวเองต่อไป

.อย่าเปลี่ยนตัวเองเพื่อใคร! แต่ให้เปลี่ยนตัวเอง เพื่อตัวเราเองเพียงเท่านั้น





7. จุดยืนของชีวิตเรา คือสิ่งที่สำคัญที่สุด เหมือนเข็มทิศนำพาชีวิตเราไปสู่เป้าหมาย 

หากไร้ซึ่งจุดยืน เวลาใครพูดอะไร เราก็เอนเอียงตามเขาไปหมด

.สุดท้ายชีวิตเราเองนั่นแหละที่จะไม่มีความสุข เพราะมัวแต่คอยทำให้คนอื่นมีความสุข





8. การอยู่กับตัวเอง พูดคุยกับตัวเอง ให้เวลากับตัวเองบ้าง ไม่ใช่สิ่งที่แปลกประหลาดอะไร 

เพราะบางทีการอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย อาจทำให้เรายิ่งค้นหาตัวเองไม่เจอด้วยซ้ำไป

.

แต่เมื่อไหร่ที่เราได้กลับมาอยู่กับตัวเราเอง เราจะเริ่มมองเห็นอะไรชัดขึ้น 

เปรียบเหมือนการอยู่ในฝูงชนมากมาย เราไม่รู้เลยว่าใครทำอะไรบ้าง

.

ดังนั้น หากเราลองเดินออกมาอยู่ข้างนอกฝูงชนเหล่านั้น และกวาดสายมองเข้าไปข้างใน 

เราจึงจะเห็นว่าแต่ละคนแสดงสีหน้า และท่าทางอย่างไรบ้าง และเราควรอยู่จุดไหน เพื่อทำให้ชีวิตของเราอยู่ถูกที่ ถูกเวลามากยิ่งขึ้น





9. อยู่ที่ไหนแล้วไม่มีใครเห็นคุณค่า แค่เดินออกมา อย่าทนอยู่กับสิ่งซ้ำซากเดิม จนเคยชินที่ทำให้ดูดพลังงานชีวิตเราไปจนหมด

.เราทุกคนล้วนมีความเก่ง ความสามารถ ความถนัดอยู่ในตัวด้วยกันทั้งนั้น

.อย่าปล่อยให้ใครมาตัดสินว่าเราโง่ เราไม่เก่ง แค่เพียงเพราะเราทำในสิ่งที่เขาเก่งไม่ได้

.

แต่ให้รู้ไว้เลยว่า นั่นอาจไม่ใช่ที่ของเรา จงรีบย้ายตัวเองไปอยู่ในที่ของเราซะ 

นี่คือสิ่งที่เราควรทำ แต่ถ้าไม่ทำ คือการทรยศหักหลังตัวเอง และพ่อแม่ของเราที่เลี้ยงดูเรามา และอยากเห็นเรามีความสุข





10. ความกตัญญูคือสิ่งที่เราต้องมีอยู่ในจิตใจ แต่ก่อนเราเด็กอาจยังตระหนักถึงเรื่องนี้ไม่มากนัก

.แต่เมื่อเราโตขึ้น โลกสอนให้เราได้เรียนรู้ว่า ความกตัญญูนี้ล่ะ ที่นำพาให้ชีวิตของใครหลายคนเจริญมานักต่อนักแล้ว

.เพราะฉะนั้นวันนี้อย่าเพิ่งใส่บาตรพระเลย หากเราเองยังไม่เคยตักข้าวให้พ่อแม่ทาน หรือพาพ่อแม่ไปทานอาหารอร่อยๆ

.อย่าเพิ่งรีบมีแฟน และแต่งงานเลย หากวันนี้เรายังเลี้ยงดูท่านให้สุขสบายไม่ได้

.เวลาของพ่อแม่น้อยลงทุกวัน เวลาของเรากลับมีมากกว่า แล้วในวันนี้เราใช้เวลาที่มีกับพ่อแม่ หรือคนที่เลี้ยงดูเรามาแล้วหรือยัง?






11. ดูคนอย่าฟังเพียงคำพูด แต่ให้ดูที่การกระทำ หากดูการกระทำไม่ได้อีก 

ให้มองเข้าไปในดวงตาทั้งสองข้างของเขา เพราะดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ

.คนเราโกหกคำพูด และการกระทำได้ทั้งนั้น แต่แววตาที่สื่อออกมา ไม่มีทางโกหกเราได้อย่างแน่นอน

.ว่าคนคนนั้นรู้สึกอย่างไรกับเรากันแน่ อยากรู้ใครจริงใจ ไม่จริงใจให้มองตา





12. อ่านหนังสือมาแล้วกี่เล่ม ไม่สำคัญเท่าอ่านแล้วนำไปใช้ในชีวิตจริงได้บ้างหรือยัง

.หาเงินต่อเดือนต่อปี ได้มากมายแค่ไหน ไม่สำคัญเท่าเรามีเงินเก็บแล้วหรือยัง?

.

หากนายเอ มีรายได้ 100,000 บาทต่อเดือน   แต่ไม่มีเงินเก็บเลย

.ส่วนนายบีมีรายได้เพียง 10,000 บาทต่อเดือน ซึ่งน้อยกว่านายเอถึง 10 เท่า ! แต่มีเงินเก็บทุกเดือน

.ถามว่าชีวิตใครจะมั่นคงกว่า และไปได้ไกลมากกว่ากัน ถ้าไม่ใช่นายบี





13. การให้อภัยคนอื่น นับว่ายิ่งใหญ่แล้ว การให้อภัยตัวเอง นับว่ายิ่งใหญ่มากกว่า

.กี่ครั้งแล้วที่เราโทษตัวเอง ไม่ยอมจบ ไม่ยอมวาง ทั้งที่เรื่องมันจบลงไปตั้งนานแล้ว

.

แค่วางให้เป็น ให้อภัยตัวเอง เริ่มต้นใหม่ เก็บไว้เป็นบทเรียนของชีวิต 

และก้าวต่อไปอย่างมีสติและสตรองที่สุด เราก็สามารถมีชีวิตอย่างสง่างามในแบบของตัวเองได้เช่นกัน





14. ครอบครัวคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามให้ยึดครอบครัวเป็นอันดับ1 แล้วชีวิตเราจะไม่พัง

.แต่เมื่อไหร่ที่เราทำงานหาเงิน จนละเลยครอบครัว พ่อแม่ ลูก คนรักของเราแล้วนั้น

.รับรองได้เลยว่าชีวิตเราจะพังในไม่ช้านี้



แม้เราจะมีเงินมหาศาล ในสายตาผู้คนเราเป็นไอดอลของคนที่ประสบความสำเร็จ

.แต่ภายในใจเราจะรู้สึกว่างเปล่า เคว้งคว้าง เมื่อสูญสิ้นครอบครัวไปแล้วตลอดกาล

.



เพราะครอบครัวคือ หัวใจ

ครอบครัว คือ บ้านแสนอบอุ่น

ครอบครัว คือ กำลังใจที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเรา

.

ฉะนั้น ไม่ว่าเราจะตัดสินใจทำอะไรก็ตาม

อย่าทิ้ง "ครอบครัว"



15. ร่างกายเรา สุขภาพเรา ต่อให้มีเงินมากมายแค่ไหน ก็ซื้อไม่ได้

.

เราต้องดูแลร่างกายของตัวเองให้ดีที่สุด

เพราะต่อให้รวยล้นฟ้า แต่ร่างกายพิการ

ไม่สามารถใชีชีวิตได้อย่างใจต้องการ

.

ในเวลานั้น เงินมากมายก็ไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับเราแล้วล่ะ

.

สู้เราแข็งแรง สุขภาพดี แล้วยังสามารถเดินทางท่องเที่ยวไปกับคนที่เรารักได้ในทุกเมื่อยังจะดีซะกว่าอีก





16. อย่าให้โลกออนไลน์ ทำให้ใจเราฝ่อ

เพราะทุกสิ่งที่เราเห็นบนโลกออนไลน์ คือ สิ่งที่คนอื่นอยากให้เราเห็น แต่ไม่ใช่ชีวิตทั้งหมดของเขา

.

เพราะฉะนั้น อย่าเพิ่งด่วนสรุปอะไรจากโลกออนไลน์เพียงด้านเดียว และให้ใช้ชีวิตในแบบของตัวเองต่อไป

.

พอใจในสิ่งที่มี แล้วเราจะมีมากขึ้นเองในสักวัน ใจที่หยุดเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น มักทำให้ใจเรามีความสุขได้ด้วยตัวเองเสมอ





17. เราไม่ควรรอให้รวยแล้วค่อยมีความสุข

ไม่ควรรอให้ทุกอย่างได้ดั่งใจเรา แล้วค่อยมีความสุข

.

แต่เราควรมีความสุขในทุกช่วงหายใจเข้าออกของเราเอง สุขทุกวินาที แล้วสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขจะยิ่งเข้ามาหาเราเอง





18. การจดบันทึกรายรับ-รายจ่าย นั้นจำเป็นอย่างยิ่ง หลายคนละเลยมองว่าจดทำไม 

เพราะรู้อยู่แล้วรายจ่ายแน่นอนในแต่ละเดือนนั้นมีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง

.

และนี่คือจุดผิดพลาดที่สุดในชีวิตของใครหลายคน เพราะเหตุผลหลักที่จดรายจ่าย เพื่ออุดรูรั่วเล็กๆ 

แต่หลายจุด ไม่ให้เรือจม เช่น การเผลอซื้อเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า เครื่องสำอาง และของกิ๊ฟช้อป

.

หากเราจด แล้วกลับมาทบทวนดูในแต่ละเดือน จะได้พบว่ามีค่าใช้จ่ายอะไรบ้างที่เราตัดได้ แล้วจะมีเงินเหลือเก็บมากยิ่งขึ้น

.

ช่วยฝึกนิสัยให้เราหัดตั้งคำถามกับตัวเองอยู่ตลอดเวลา ก่อนที่จะจ่ายเงินเพื่อซื้ออะไรก็ตาม 

ว่าสิ่งนี้จำเป็นไหม เราใช้ทำอะไร ถ้าไม่มีมันเราอยู่ได้ไหม 

และมีสิ่งอื่นที่เรามีอยู่แล้ว สามารถใช้ทดแทนกับสิ่งที่เราจะซื้อได้หรือเปล่า





19. การแต่งหน้าน้อยลง ช่วยทำให้เราไม่ยึดติดกับการปรุงแต่งภายนอกมากนัก 
\
เพราะแต่คนล้วนดูดีในแบบของตัวเอง ไม่มีใครเหมือนใครทั้งนั้น

.

แม้แต่ฝาแฝดที่หน้าตา รูปร่างเหมือนกันทุกอย่าง แต่ลายมือนั้นยังแตกต่างกันเลย

.

เมื่อเครื่องสำอางน้อยชิ้น ใบหน้าของเราจะเบาสบายมากยิ่งขึ้น 

ลดเวลาแต่งหน้ามากขึ้น นำเวลาที่มีไปทำในสิ่งที่มีประโยชน์มากกว่า

.

อีกทั้งยังประหยัดค่าเครื่องสำอาง มีเงินเหลือเก็บไว้ใช้ออม ใช้ลงทุนสร้างอนาคตต่อไปได้อีกด้วย






20. เราเปลี่ยนใครไม่ได้หรอกนะ หากเรายังไม่สามารถเปลี่ยนตัวเองได้เลย

.

เราทุกคนก็เหมือนวัยเด็กที่เลียนแบบการกระทำของผู้ใหญ่ 

ไม่ได้เชื่อฟังคำสอนของผู้ใหญ่มากนักหรอก อย่างมากก็แค่ทำตามเพราะกลัวถูกทำโทษหรือโดนตีแค่นั้นเอง

.

เพราะฉะนั้น เปลี่ยนตัวเราเองง่ายที่สุด และดีที่สุดแล้วล่ะ





21. ถ้ายังเลือกสบายวันนี้ ก็เตรียมตัวลำบากในวันข้างหน้าได้เลย 

แต่ถ้าหากทนลำบากหน่อย เพื่ออนาคตที่สุขสบาย ก็คุ้มค่ามากเลยล่ะ 

กับความพยายาม ความเสียสละ อดทนต่อความลำบากที่ผ่านเข้ามา





22. การเขียนขอบคุณทุกเช้าและเขียนบันทึกความสำเร็จก่อนนอนทุกวัน 

จะช่วยทำให้เรามองเห็นคุณค่าของสิ่งต่างๆ และผู้คนรอบกายเรามากยิ่งขึ้น

.

อีกทั้งยังสามารถกลับมาอ่านซ้ำได้ยามที่เรารู้สึกท้อแท้ หมดกำลังใจ รู้สึกแย่

.

บันทึกขอบคุณจะทำให้เรารู้ว่าเรามีสิ่งมีค่ามากมายในชีวิต 

และบันทึกความสำเร็จ ทำให้เรารู้ว่า ที่ผ่านมาเราทำอะไรสำเร็จมาแล้วบ้าง

.

ช่วยให้เรารู้สึกภูมิใจในตัวเอง มองเห็นคุณค่าในตัวเอง และกลับมายืดหยัดต่อสู้กับทุกสิ่งที่ถาโถมเข้ามาได้ต่อไป





23. ใครจะพูดถึงเราอย่างไร หรือคิดกับเราอย่างไร ไม่สำคัญเท่ากับความคิดที่เรามีต่อตัวเอง และคำพูดที่เราพูดให้ตัวเองได้ยิน

.

เพราะสุดท้ายแล้วคนที่อยู่กับเราตลอด 24 ชม.ในทุกๆวัน คือตัวเราเอง

.

เราย่อมรู้ดีเสมอว่าเราทำอะไรอยู่ คิดอะไรและเป็นคนแบบไหน

.

ดังนั้น อย่าให้ลมปากของใครก็ตาม มาตัดสินชีวิตเรา 

และเราไม่จำเป็นต้องสละเวลาอันมีค่าไปอธิบายให้ใครฟังทั้งนั้นว่าเราเป็นอย่างไร





24. ทุกคนย่อมมีด้านมืด และสว่างอยู่ในตัวเอง

เหมือนเหรียญที่มีสองด้าน อยู่ที่ใครจะเผยด้านไหนออกมาแค่นั้นเอง

.

อย่าตัดสินใครแค่เพียงเห็นเขาทำไม่ดีกับเรา

และอย่ามองใครว่าดีในทันที หากยังไม่รู้จักเขาให้มากกว่านี้

.

การมองโลกในแง่ดีบางครั้ง อาจทำให้ชีวิตของเราตกอยู่ในอันตรายได้

.

การมองโลกในแง่ร้าย ก็อาจทำให้ชีวิตของเราหวาดระแวงมากเกินไป จนไม่มีความสุข

.

แต่สิ่งที่เราควรมี คือ การมองโลกตามความเป็นจริง มองอย่างเป็นกลางให้ได้ แล้วเราจะไม่ต้องมาเจ็บหรือต้องเสียใจภายหลัง

.

หากว่าวันนึงเราถูกใครทำร้าย หรือหักหลังมา เพราะว่าเราได้เตรียมใจไว้อยู่เสมอ จากการมองโลกตามความเป็นจริง




Cr. ใบเฟิร์น  กฤตินันท์โสภณ

……………………………………………………

อ่านจบแล้ว ถ้าเห็นว่ามีประโยชน์ อย่าลืมแชร์

และคอมเมนต์กันได้  เพื่อเป็นกำลังใจให้นีมเขียนบทความดีๆ

ต่อไปด้วยนะคะ   ขอบคุณมากค่ะ ^-^

 .......................................................................................

ถ้าไม่อยากพลาดบทความดีๆ แบบนี้


 อย่าลืม! ดาวน์โหลดแอพบล็อกดิต (Blockdit)


 กันนะคะ ^-^



App Blockdit : Neemmy BK



และฝากติดตามเพจเฟซบุ๊ก : รีวิวหนังสือดีดี

https://www.facebook.com/Bookslovercommunity/



กันด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ 🙏




-Neemmy BK-



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น